Thursday, May 6, 2010

มีงามให้มอง

เพื่อนสนิทชาวอเมริกันชื่อ Britt Nielsen ส่งข่าวมาบอกว่า รูปถ่ายส่วนหนึ่งของตนได้รับคัดเลือกให้แสดงใน photo exhibition ที่รัฐ Vermont ถ้าอยากดูรูป ให้คลิกไปที่ที่อยู่ข้างล่างนี้

http://www.vermontphotospace.com

อ้า ชีวิตแสนงาม ยามที่ใจเรานิ่ง เพ่งดูภาพถ่ายอันใสงาม ใจเพิ่มความอิ่มเอม จดจ่อ และ อยากกล่าวคำขอบคุณต่อ “beautiful things” ทั้งมวลในโลก อยากขอบคุณช่างถ่ายภาพ ที่จับมุม จับกลีบของธรรมชาติมาอวด มาวางให้เราเห็น พินิจถึงความงามที่แท้ ทั้งภายนอก และ ภายใน กลีบนวลนิ่งของดอก magnolia สร้างพลังมหัศจรรย์ให้เราค้นหา หาให้นึกถึงความงามของโลก ง่ายงาม งามแบบธรรมชาติ ใน “beautiful things”

ไม่แย้งว่า ชีวิตมิอาจมีแต่เรื่องงามเพียงอย่างเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจึงมิอาจละเลย ช่วงเวลาที่ความงามเดินมาใกล้ใจ ออกไปดูโลกที่งอมงาม โลกของคนไร้บ้าน-มีฟุตบาทเป็นหัวเตียง อาจไม่โสภาเท่าโลกของคุณหนูลูกสาวเจ้าของกิจการร้อยล้าน แต่เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน จะแบ่งปันความงามเพื่อให้โลกงามขึ้น อีกนิด มิได้หรือ

ขอแตะกลีบของ “beautiful things” ด้วยสายตา ด้วยความขอบคุณ

Thursday, April 29, 2010

เสน่ห์ของการกินข้าวคนเดียว

เสน่ห์ของการกินข้าวคนเดียว – อยู่ที่ข้าว หรือ อยู่ที่เรา

ข้าวขาวเรียงเม็ด เรียงคำ ติดหนึบอยู่ระหว่างนิ้วโป้ง กับนิ้วชี้ ประเดี๋ยวเดียวน้ำแกงเห็ดใสๆใส่ผักหวานผลักเม็ดข้าวปั้นเหล่านั้นให้ไปเต้นระบำ ละลายไปกับน้ำแกง รวมกันหนึบหนับ ตามด้วยน้ำเย็นๆ คำต่อคำ ความต่อความ คิดไหล หลากไปเรื่อยเปื่อย มีมนุษย์กี่ผู้คนที่นั่งละเลียด กลืนข้าว กินคนเดียว เหลียวหาใครไม่พบ สามีกลับประเทศบ้านเกิดชั่วคราว แม่อยู่ต่างถิ่น น้อง พี่ ต่างมีเหย้าเรือน ฝูงเพื่อนมีชีวิตเป็นของตน การสังสรรค์อาจนำมาซึ่งความเฮฮา สรวลเส แต่นั่นเป็นเพียงวาระครั้งคราว ตามความจำเป็นของสังคม ทุกวันยามเย็น เรานั่งล้อมวงสำรับกับข้าว อาจมีหลายจาน หลายถ้วย เรียงหน้ามาทักทาย แต่เรานั่งสงบๆ กินข้าวคนเดียว

ความงาม และ ความดีของประสบการณ์ดังกล่าว อาจจะลอยหน้ามาในขณะที่ ไข่เจียวชุบชะอมเดินทางลงกระเพาะ ยอดชะอมขมๆ หวานๆดึงความคิดฟุ้งซ่านให้รวมเป็นหนึ่ง เห็นภาวะของกาย ขณะ นั่ง นิ่งๆ เงียบๆ เคี้ยวข้าวทีละคำ เนิบช้า เห็นเหงื่อเม็ดโตผุดผาดข้างแก้ม ไอความร้อนทำหน้าที่อย่างจริงจัง ตั้งใจจะเคี้ยว และ เคี้ยวชะอมอีกครั้งให้ป่นแหลก เพราะติดใจการอ้อยอิ่งกับภาวะนิ่งๆของการกินข้าวคนเดียว

ไม่ได้แล้ว หมกปลาสวายที่ตั้งอยู่ตรงหน้าหละ เราจะไม่ไปคุยและทำสังคกรรมกับกลุ่มปลาเหล่านั้นหน่อยหรือ ดึงไม้กลัด (ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นไม้กลัด มันเมื่อไหร่ และ ที่ไหนกันหนอ) ออกเพื่อให้เพื่อนๆปลาออกมาดูโลก ดูเรา หมกปลาถูกคลุมร่างกายด้วยใบตอง จากเขียวหอมกลายเป็นน้ำตาลอ่อนๆ เพราะถูกความร้อนรีดความสดออกไป ช่างว่านอนสอนง่ายเสียนี่กระไร นอนเรียงกันเงียบเชียบเป็นกลุ่มเป็นก้อน มีพริกแดง กับ ปลายต้นหอม สองสามหน่อมานอนเป็นเพื่อน เอาหละ เห็นทีจะต้องทำให้วงแตกซะที ปลายช้อนพุ่งเข้ากลางวง เงียบฉี่ ไม่มีเสียงคัดค้าน เราจับปลาทั้งหมดเข้าปาก เคี้ยว แก้มตุ้ยนุ้ย เคี้ยว เคี้ยวอีกครั้ง จนแน่ใจว่าไม่เหลือหลักฐานให้เห็นว่าตัวไหนเป็นตัวไหน อดขอบคุณปลาตัวน้อยๆที่สละชีพเพื่อให้เรามีชีวิตรอดไปอีกมื้อ

นั่งเคี้ยวต่อ--คนเดียว การไร้ซึ่งปฏิสัมพันธ์ของคนร่วมวงรับประทานอาหาร กลับช่วยกระตุ้นโลกที่เคยเงียบเหงาของเหล่าอาหารให้เบิกบานอีกครั้ง คล้ายได้กลิ่นได้ร่วมวงกับบรรยากาศน้อยๆ ในการสังสรรค์ระหว่างเพื่อนเก่ากับตัวเรา- นานๆจะคุยกันสักครั้ง แต่นำมาซึ่งความคิด ความใส่ใจ เชื้อเชิญความรู้สึกใหม่ๆมาให้เราประหลาดใจได้เสมอ

วันนี้ท่านจะกินอาหารเย็นกับผู้ใด

Wednesday, April 7, 2010

ดับร้อนที่-ใจ

ยิ่งบ่นว่าร้อน ใจยิ่งทุรนทุรายร้อนเกินกว่าจะต้านได้ ต้องหาวิธีดับร้อนให้อยู่หมัด จัดเข้าหมู่หมวดได้ดังนี้

-หาน้ำเย็นมาดื่มให้ชุ่มคอ
-อาจจะตามด้วยไอศครีมรสดีสักถ้วย อร่อยได้ไม่ต้องกลัวอ้วน
-อิ่มแล้ว หากะละมังมานั่งแช่มือ แช่เท้า ใส่สมุนไพรอะไรก็ได้ ที่หอม ที่ชอบลงในอ่าง
-อยู่ในที่ล่ม ถ้าต้องออกแดด อย่าลืมสวมแว่นกันแดด กางล่มห่มตัว หยิบเสื้อแขนยาวไปบ้างก็ดี
-ถ้ามีเงินนิดหน่อย ไปเลือกพัดลมไอน้ำมาเป่าให้เย็นตัว
-อาบน้ำปะแป้งร่ำ แป้งเย็น ใครเห็นใครก็ชอบ
-ใส่เสื้อผ้าฝ้าย หรือ ผ้าโปร่งที่ไม่รัดตัวจนเกินไป หลีกเลี่ยงยีนส์ได้ยิ่งดี
-แอร์เป็นทางเลือกของคนมีตังค์ เปลืองไฟ แต่บางทีก็จำเป็น
-ปลูกต้นไม้เยอะๆ ปลูกไปเพื่อให้ลูกหลานได้อาศัยล่มเงา

ยังมีอีกหลายวิธีที่ช่วยคลายร้อน แต่อันดับแรกขอดับ-ร้อนที่ใจก่อน

Tuesday, April 6, 2010

ร้อนอำมหิต

เหงื่อไหลออก ไม่ยอกย้อน ขยับขาแข้งไปทางไหนก็มีแต่แสงแดด แดงแจ๋ชูทาง เมื่อก่อนตอนที่อยู่โลกตะวันตก กระโดดได้ใจทุกครั้งที่เห็นแดด มาวันนี้ที่อีสาน โอ้ ช่างร้อน ร้าวราน ขอบอกว่า ร้อนอำมหิต
นี่แหละชีวิต อะไรๆที่เคยอยากได้ พอได้เข้ามาจริงๆกลับอยากผลักออกห่างๆ ตอนนี้ไม่ค่อยชอบแดด อยู่ประเทศตะวันตก ได้แดดเหมือนได้ชีวิตใหม่ บูชาแสงอาทิตย์เหมือนคนชนบท คนบ้านป่า อยู่อีสานภาวนาขอให้แดดออก น้อยลงอีกนิดก็จะดี หัวใจพองโตถ้ามีฝนมาชำระล้าง มาเปลี่ยนทางให้ถนนลูกรังที่นี่มีฝุ่นน้อยลง

อยู่อีสานขอฝน เพราะ แดดที่นี่อำมหิตเหลือใจ จะว่าไปอีกที ไขมันที่สะสมไว้กำลังค่อยละลายไปพร้อมกับเหงื่อรสเค็ม เอ้า ฝน จ๋า ฝน เดินมาหาบ้าง อย่าให้เรานั่งบ่น กร่นด่าว่า ร้อนอำมหิตอยู่อย่างนี้เลย

Saturday, April 3, 2010

ไปด้วยใจ

People enter a flow state when they are fully absorbed in activity during which they lose their sense of time and have feelings of great satisfaction. The author, a pioneer in this astonishing field of study, clearly explains the principles of "flow" and shows how it can be introduced into every level of life

ผู้เขียนยกข้อความข้างบนจากหนังสือชื่อ Flow โดย Mihaly Csikszentmihalyi เพียงแค่อ่านคำโปรยก็ทำให้นึกถึง ความเลื่อนไหล และ เป็นไป ในชีวิตที่ไม่ต้องอ้างอิงคำนิยม นิยามจากทฤษฏีไหนๆ เนื่องด้วย การเกี่ยวร้อย ถ้อยจำนรรจาในบทสนทนาเรื่องชีวิต ที่หลายๆครั้งเกิดขึ้นเพราะการนำพาภาระความรู้สึก ภาระที่ผูกรัดด้วยความรับผิดชอบ และ ความจริงใจ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตไม่อาจอธิบายได้เพียงคำว่า โชคชะตา แต่อาจขยับมุมให้ใหญ่ขึ้นด้วยการวางตำแหน่งของ โอกาส ความหวัง ความฝัน ความจำเป็น และ หน้าที่ ในฐานะแห่งความเป็นมนุษย์

เราไม่อาจเข้าใจเรื่องทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตได้จากคำอธิบายสั้นๆ แต่อาจจะต้องเอาคำอธิบายนั้นมาต่อเติมเป็นคำถามชุดใหม่ ชุดใหญ่ ชุดที่มีความเคลื่อนไหวในพลังชีวิตเป็นสะพานเชื่อมโลก เชื่อมเรื่องราวของคนเมือง คนบ้านป่า เรื่องของการเดินทางภายในของแต่ละคน

เพื่อให้มี ท่วงทำนอง ที่สัมผ้สได้ ที่ใจเห็นกระจ่าง ที่การเดินทางในโลกใหม่ ในอีสาน เป็นไปด้วยใจ